ยุคก่อนฝากเงินในแบงค์ ใครๆก็รวยได้ง่ายๆ เพราะดอกเบี้ยเคยสูงถึง 12-15% ต่อปี แต่เศรษฐกิจแบบนี้ แค่เปิดบัญชีเงินฝาก เงินในบัญชี 10 ล้าน ของคุณก็อาจหายไปจน เหลือ 0 บาท ได้ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น เราจะมาเล่าให้ฟังกันครับ
1.ดอกเบี้ยนโยบายลดลง
ดอกเบี้ยนโยบาย เป็นดอกเบี้ยที่แบงค์ชาติกำหนดมาเพื่อเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (ดอกเบี้ยขั้นต่ำ) เพื่อควบคุมเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างเหมาะสมโดยปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายของบ้านเราอยู่ที่ 0.5% ต่อปี ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์
เมื่อดอกเบี้ยนโยบายลด ธนาคารก็ต้องลดดอกเบี้ยเงินกู้ไปด้วย พอแบงค์ได้เงินจากดอกเบี้ยกู้น้อย ดอกเบี้ยเงินฝากก็เลยยิ่งลดลงไปอีก น้อยจนเราแทบไม่รู้เลยว่าได้ดอกเบี้ยด้วย น้อยจนถูกกัดกินด้วยเงินเฟ้อ…
2.เงินเฟ้อ “ศัตรูที่มองไม่เห็น”
กรณีฝากเงินในธนาคาร แม้จำนวนเงินที่เป็นตัวเลขไม่หาย แต่มูลค่าของมันสามารถหายไปได้อย่าลืมว่าเงินเป็นสิ่งสมมุติที่อ้างอิงกับมูลค่าสินค้า, บริการ และอีกหลายอย่าง
หากเวลาผ่านไปจนราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น แต่จำนวนเงินไม่เพิ่มตาม มูลค่าในการใช้งานของมันจะลดลงเช่น เมื่อก่อน 10,000 บาท ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 1,000 ชาม แต่ปัจจุบันอาจซื้อได้แค่ 250 ชาม
เงินเท่ากัน..แต่ใช้ได้น้อยลง สิ่งนี้แหละครับที่เรียกว่า “เงินเฟ้อ”แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเงินที่คุณฝากเงินไว้แรมปี โตไม่ทันกับราคาสินค้าและบริการ
“เงินก็จะค่อยๆหายไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ทางจำนวน แต่เป็นมูลค่า”
3.ค่าธรรมเนียมบัตรเดบิต ATM
หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ว่า แต่ละปีเราเสียค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตกันอยู่ ใบละ 100 – 1,000 บาท ซึ่งรวมๆกันหลายใบแล้วก็เยอะอยู่ครับ และอาจมากกว่าดอกเบี้ยด้วยซ้ำ
แต่ข่าวดีก็คือ ตอนนี้เวลายกเลิกบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต เราจะได้ค่าธรรมเนียมคืนตามระยะเวลาคงเหลือในแต่ละปีด้วยครับ จากเดิมที่จะไม่ได้เงินส่วนต่างคืนหรือคืนเมื่อร้องขอเท่านั้น
ทางที่ดีถ้าไม่ได้ใช้ก็ไปยกเลิกกันเถอะครับ เงินจะได้ไม่หาย
4.ธนาคารเจ๊ง เงินหายหมด !
ข้อนี้สำคัญนะครับ ถึงแม้จะมีสถาบันคุ้มครองเงินฝาก แต่ถ้าแบงค์ล่มเงินคุณก็หายไปเยอะแน่นอนครับเพราะสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะคุ้มครองเงินฝากแค่ 5 ล้านบาท/คน/ธนาคาร ถึงแค่ก่อน 11 ส.ค. 64 เท่านั้น
หลังจากนั้นจะคุ้มครองเหลือแค่ 1 ล้านบาท/คน/ธนาคาร พูดง่ายๆคือฝาก 10 ล้าน ถ้าแบงค์ล่มก็ได้คืนแค่ล้านเดียว น่ากังวลไหมละครับ…
สรุป
สรุปคือ “การออมเงินเป็นเรื่องที่ดี” แต่การฝากเงินเอาไว้ในที่ๆเดียวโดยไม่ลงทุนย่อมเสี่ยงกว่าแน่นอนครับยุคนี้แค่มีเงินสำรองคงไม่พอ การกระจายความเสี่ยงก็สำคัญด้วย อย่าลืมศึกษาให้ดี ก่อนเงินในบัญชี 10 ล้านจะหายไปเหลือ 0 บาท